ครั้งหนึ่งในชีวิต กับการอุปสมบทใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ จารึกแสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน @อินเดีย – เนปาล ฉลองพุทธชยันตี 2600 ปี
ครั้งหนึ่งในชีวิต
กับการอุปสมบทใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
จารึกแสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน @อินเดีย –
เนปาล ฉลองพุทธชยันตี 2600
ปี
โดย กรัณย์ สุทธารมณ์ (พระกุสลโพธิ)
5 ปี ผ่านไป
เข้าสู่บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองพุทธชยันตี 2600 ปี เช้าวันที่ 28 สิงหาคม 55
ก่อนปิดประตูเพื่ออาบน้ำเพียง 5 วินาที
ก็ได้ยินเสียงวิทยุ สวท.เพชรบุรี ...”โครงการนี้เราจัดทุกปีนะครับ
โดยจะทำการบวชที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์....” (ท่านปรีชา
วัชราภัย ผอ.สปร.กล่าว) จากนั้น
เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่จะจำรึกในความทรงจำของผมจึงได้ปรากฏขึ้น
วัดไทยพุทธคยาถือว่าเป็นวัดแรกที่รัฐบาลไทยได้มาจัดตั้งในนอกราชอาณาจักร พวกเราได้รับการต้อนรับและชี้แจงจากพระมหานิพนธ์
เลขานุการเจ้าอาวาสเสร็จแล้ว จึงได้จัดแจงสัมภาระเข้าห้องพัก ห้อง 206 (พัก4 ท่าน
ติดกับห้องพระประธาน) ขณะนั้นพบว่าหลวงพ่อพระราชรัตนรังสีกำลังฉันเพลอยู่
จึงรีบนำขนมมาการอง ที่นำมาจากประเทศไทยถวายหลวงพ่อเป็นสิริมงคล จากนั้นจึงไปชม แม่น้ำเนรัญชรา
สถานที่พระพุทธองค์ลอยถาดซึ่งนางสุชาดาเป็นผู้ถวายข้าวมธุปายาสก่อนที่มหาบุรุษจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งปัจจุบันมีสภาพเป็นคล้ายทะเลทราย ปกคลุมด้วยต้นหญ้า
มีสัตว์มาเดินและเด็กๆมาเล่นกันจำนวนมาก
แต่กระนั้นก็ยังไม่ทำให้พวกเราคลายแรงศรัทธาและความตื่นเต้นที่ได้เห็นแม่น้ำที่มีความสำคัญต่อพุทธศาสนาอยู่ดี
ไกด์ได้ชี้จุดที่น่าจะเป็นจุดที่พระพุทธองค์ลอยถาด ชมต้นหญ้ากุศะ ที่นายโสตถิยะเป็นผู้ถวายให้มหาบุรุษ
เพื่อได้ปูลาด ณ ใต้ต้นโพธิ์ จากนั้นจึงไปไปชม บ้านนางสุชาดา พวกเราได้เดินชมรอบกองอิฐขนาดใหญ่
ซึ่งทราบว่าพระเจ้าอโศกได้เป็นผู้สร้างเป็นอนุสรณ์ให้เป็นที่ระลึกสถานที่ที่มีความสำคัญ
ที่นี้ได้สร้างการปรับตัวให้กับพวกเรากับการปฎิบัติตัวกับกลุ่มคนที่เรียกว่า ขอทาน
และผู้ที่มาขายสินค้าต่างๆอย่างดี “ไม่มอง ไม่สบตา วางเฉย
นั่นหล่ะดี” เป็นวาทะที่ไกด์ได้แนะนำพวกเราให้ช่วยปฎิบัติเพราะจะทำให้ท่านปลอดภัยจากการถูกรุมทึ้งจากคณะขอทานได้
เพราะที่นี้มีขอทานจำนวนมาก มีทั้งร่างกายไม่สมประกอบแขนขาลีบ เด็กเล็กต่างๆ ขณะเดินรอบได้พบกับ
จากนั้นพวกเราทุกนาคจึงได้ไปรับประทานอาหารที่อู่ข้าว
และไปที่ห้องธรรมสภา เพื่อเปิดโครงการอุปสมบทฯ และปฎิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติอย่างเป็นทางการ
เสร็จพิธีจึงได้ทำพิธีการซ้อมคำขานนาค โดย พระอาจารย์ปลัดณรงค์ อุตตมโส และเพื่อให้พวกเราขานนาคได้ถูกต้องและพร้อมเพรียงกัน
วันนี้ภารกิจการไปปักกลดที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์จึงต้องงดไปก่อน
เช้าวันพุธที่ 31 ตค. ตื่นเช้า 6 โมง พวกเราได้สวมชุดนาคเพื่อไปซ้อมขานนาคอีกครั้งหนึ่งที่ธรรมสภา
วันนี้ถือว่าเป็นวันออกพรรษา ทางวัดจึงได้จัดพิธีตักบาตรเทโว บริเวณหน้าอุโบสถ
ทำให้ได้พบเห็นญาติธรรม
คนพุทธที่อยู่ ณ คยานี้ ได้มาจัดโต๊ะเพื่อเตรียมตักบาตรจำนวนมาก
ระหว่างเตรียมตักบาตร นกพิราบฝูงใหญ่ได้บินวนรอบพระอุโบสถ (ประมาณ 7-8 รอบ ซึ่งปกติจะไม่ค่อยบินจะเกาะหลังคาตามจุดต่างๆเท่านั้น) เวลา 8 โมง พระพี่เลี้ยงจึงจัดให้พวกเราได้ใส่บาตรหลวงพ่อพระราชรัตนรังสี
และคณะพระสงฆ์ที่เดินโปรด เป็นลำดับแรก
บรรยากาศเช้าก่อนนี้จึงอิ่มเอิบบุญกันเต็มที่
จากนั้นพวกเราได้มุ่งหน้าขึ้นรถไป วิหารพุทธคยา เพื่อที่จะทำพิธีบวชสามเณร
ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ก่อนเข้าวิหารทางไกด์จึงแนะนำให้พวกเราถอดรองเท้าไว้ที่รถบัส
เพราะข้างในจะไม่อนุญาตให้ใส่รองเท้าและเป็นการสะดวกแก่ผู้บวชอีกทางหนึ่ง หน้าบริเวณทางเข้ามีร้านค้าของจำนวนมากๆ
พอถึงถึงทางเข้าเริ่มตื่นเต้นอีกครั้งกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้
ณ ที่แห่งนี้ “วิหารพุทธคยา”
ภาพผู้คนผู้แสวงบุญจากประเทศต่างๆ การแต่งกายที่แตกต่างกันไป
และแน่นอนภาพของขอทานที่นั่งเรียงรายระหว่างทางเข้าวิหาร เมื่อมาถึงพระปลัดณรงค์
ได้นำพวกเราทำประทักษิณรอบวิหาร 3 รอบ (อิติปีโสภควา
อรหังสัมมา...) ภายใน
เวลา 12.00 สามเณรทั้ง
18 รูป และคณะญาติโยม พร้อมกันภายในพระอุโบสถ ภายในพระอุโบสถ
ซึ่งจำลองมาจากวัดเบญจมบพิตรประเทศไทย โดยมี พระพุทธชินราชเป็นพระประธาน
บริเวณผนังพระอุโบสถมีภาพวาดชาดกเรื่องราวพระมหาชนกที่มีความสวยงามมาก เข้ามาแล้วรู้สึกถึงความสงบและความศักดิ์สิทธิ์ในทันที
จากนั้น จึงเข้าสู่การประกอบพิธีอุปสมบทแก่สามเณร โดยกำหนดเป็น 6 ชุด ชุดละ 3 รูป พิธีเริ่มต้นตั้งแต่เวลา 13.30
น. จนถึง ชุดที่ 5 พระคู่สวดที่กำหนดไว้ ได้มาเปลี่ยนเป็น
พระเมธีวรญาณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
ที่พึ่งเดินทางจากประเทศไทยมาถึง จนถึงเวลา 17.00 น.(โดยประมาณ)
ก็มาถึงชุดที่ 6 ได้เข้าไปกล่าวคำขอบวช
กล่าวขอนิสัยต่อพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจารย์และพระอนุสาวนาจารย์อนุกรรมวาจาคล้องบาตรให้
จากนั้นพระคู่สวดได้กล่าวซักซ้อมอันตรายายิกธรรม (กล่าวแต่สิ่งที่มีอยู่จริง) จากนั้นจึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปสู่ท่ามกลางสงฆ์และเปล่งวาจาคำขออุปสมบท
แจ้งชื่อตน “กินนาโมสิ
อะหัง ภันเต กุสลโพธิ นามะ” (แปลว่าผู้มีความเฉลียวฉลาด)
และกล่าวชื่อพระอุปัชฌาย์ต่อที่ประชุมสงฆ์ “โก นามะ เต
อุปัชฌาโย อุปัชฌาโย เม ภันเต อายัสะมา วีรยุทโธ นามะ” (ตรงนี้ถือเป็นหัวใจของพวกเราเลย จะไม่ยอมกล่าวผิดพลาดโดยเด็ดขาด
เพราะถือว่าเป็นการให้ความเคารพอย่างสูง) จากนั้นจึงฟังสวดญัตติจตุถกรรมวาจา
เพื่อยกสามเณรขึ้นเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ถือว่าเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด
(สำรวมและอธิษฐานยังบุญไปถึงบุคคลอันเป็นที่เคารพรัก) จากนั้น กราบ 3 หน ประนมมือคลานเข่าถอยหลังออกไป
กล่าวกันว่าเป็นพิธีอุปสมบทที่ยาวนานที่สุดคณะหนึ่ง ซึ่งใช้เวลาเกือบ 5 ชั่วโมง อันจากความละเอียดของลำดับพิธีการ
พระเมตตาที่ให้โอวาทแก่พระบวชใหม่
ซึ่งถือเป็นสิริมงคลและเป็นสิ่งที่สร้างความภาคภูมิใจแก่พวกเราอย่างยิ่ง ต่อด้วยพิธีถวายผ้าป่าวัดไทยพุทธคยา
และการใส่บาตรแก่พระใหม่หน้าพระอุโบสถตามลำดับ จากนั้นจึงนัดแนะกันเวลา 20.00
น. สำหรับผู้ที่มีความประสงค์พักปักกลดใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ (เวลา 21.00
วิหารฯจะปิดประตูไม่ให้คนภายนอกเข้าและไม่ให้คนในออก เพื่อรักษาความปลอดภัย)
จะมีรถบัสบริการพาไปส่ง และจะรับกลับมาที่วัดอีกครั้งเวลา 04.00 น. เมื่อถึงเวลามีผู้เดินทางไปปักกลดจำนวน 17 ท่าน
(พระ 8 รูป อุบาสกอุบาสิกา 9 คน) เวลานี้
ถือว่าอากาศค่อนข้างหนาว จึงต้องเตรียมเครื่องนุ่งห่มให้เพียงพอ
(จะให้ป่วยไม่ได้เพราะเหลืออีกหลายวัน) พอไปถึงสิ่งแรก คือ การจับจองที่ปักกลด
โชคดีที่วันนี้คนไม่มากนัก เราสามารถเลือกพื้นที่ได้หลายพื้นที่
จริงๆตั้งใจจะปักกลดหน้ากล่องพระพุทธรูปบริเวณหน้าต้นพระศรีมหาโพธิ์ แต่ด้วยเป็นพื้นที่ที่อยู่นอกรั้วซึ่งจะรับปะทะอากาศและลมเย็นโดยตรง (จึงต้องพิจารณาด้วยสติว่าเราต้องรักษาสุขภาพให้ดี)
ผมจึงมาปักกลดด้านซ้ายข้างต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระแท่นวัชรอาสน์
ตามคำแนะนำและการช่วยเหลือการกางกลดจากญาติธรรมที่มาด้วยกัน หลังจากกางกลดเสร็จจัดแจงพื้นที่ภายในเต้นท์เป็นที่เรียบร้อย
จึงได้เดินสำรวจบริเวณโดยรอบวิหารพุทธคยา เวลานั้นเป็นเวลาใกล้ 3 ทุ่ม จึงเหลือคนไม่มาก เพราะคนได้ออกจำนวนหนึ่ง อากาศค่อนข้างเย็น
ต้องสวมหมวกไหมพรมตลอด เริ่มจากเข้าไปนมัสการ พระพุทธเมตตา เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย แกะสลักด้วยหิน มีอายุ 1,400 กว่าปี ทาด้วยสีทองงดงาม เป็นพระพุทธรูปที่มีประวัติการรอดพ้นจากการทำลายจากกษัตริย์ในอดีตกาล แล้วจึงเดินสำรวลรอบวิหารรอบนอกสุด เราได้พบสถานที่สำคัญที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเสวยวิมุยติสุข 7 สัปดาห์ อาทิ อนิมิสเจดีย์ หลังจากทรงประทับ ณ รัตนบัลลังค์ตลอด 7 วัน พระพุทธเจ้าได้เสด็จประทับยืน ณ ที่แห่งนี้ ได้ทอดพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยไม่กระพริบตาเป็นเวลา 7 วัน เพื่อระลึกคุณของต้นพระศรีมหาโพธิ์ รัตนจงกรมเจดีย์
ในสัปดาห์ที่ 3 พระองค์ทรงเนรมิตที่จงกรม
ระหว่างรัตนบัลลังค์กับอนิมิสเจดีย์
ทรงจงกรมบนรัตนบัลลังค์เจดีย์ ปัจจุบันเป็นหินแกะสลักเป็นดอกบัว 19 ดอก วางบนแท่นหินเรียงกันเป็นแนวยาว สระมุจจลินท์ เป็นสถานที่จำลองที่พระพุทธเจ้าทรงประทับนั่ง
ณ โคนต้นมุจจลินท์ และมีพายุ เกิดเมฆฝน พญานาคที่อยู่ในหนองน้ำ ชื่อว่า มุจจลินท์
ได้เนรมิตกายให้ใหญ่ล้อม พระพุทธเจ้าเพื่อป้องกันฝนและลม ซึ่งของจริงจะอยู่ห่างจากวิหารพุทธคยาไปอีก
นอกจากนี้จะพบเจดีย์โบราณจำนวนมากรอบๆบริเวณวิหาร
สภาพของวิหารอยู่ต่ำกว่าระดับพื้นดินโดยรอบกว่า 200 เมตร
ทำให้นึกภาพได้ว่าสมัยก่อนดินโคลนต่างๆได้มาทับฐานของเจดีย์ ซึ่งอาจเป็นผลจากการไหลของแม่น้ำเนรัญชราและความยาวนานของกาลเวลาจริงตามที่ได้รับฟังมา
เดินรอบวิหารภายนอกผ่านความหนาวมาได้ครบรอบ
จึงเริ่มมาดูเส้นทางรอบในวิหารบริเวณหน้าต้นโพธิ์ใหญ่บ้าง แล้วที่นึ้ จึงได้พบใบโพธิ์สภาพสมบูรณ์
จึงได้เก็บภายในจีวร จากนั้นจึงกลับที่ปักกลดเพื่อสวดมนต์ และคำอธิษฐาน
(ที่เตรียมมาอย่างดี) เสร็จจึงได้นั่งสมาธิระยะหนึ่ง
แต่ด้วยความเพลียจากการตื่นเช้าและพิธีบวชทั้งวัน จึงขอหลับพักใต้ต้นโพธิ์ก่อน
(ต้องควบคู่กับการดูแลร่างกายอย่างดี) ตื่นอีกที ตีสาม
จึงได้มานั่งสมาธิอีกระยะหนึ่ง ไม่นานซักเท่าไร ก็ได้ยินเสียงการเก็บเต้นท์ ข้างๆ
(ทราบภายหลังว่าเจ้าหน้าที่จะทำการบอกให้เก็บเต้นท์) จึงได้ทำการเก็บบ้าง ก่อนกลับจึงได้ไปกราบลาต้นพระศรีมหาโพธิ์พร้อมได้รดน้ำบริสุทธิ์
ที่พระเพื่อน (พระสุจินต์)ได้แบ่งให้ครึ่งขวด แล้วจึงได้ทำการเดินทางขึ้นรถกลับใช้เวลาเพียง
10 นาที ก็ถึงวัดไทยพุทธคยา
1 พฤศจิกายน 2555 เวลา 06.00 น. พระใหม่ทุกรูปได้เข้าสู่การสวดมนต์ทำวัตรเช้าเป็นครั้งแรก โดยการนำของพระราชรัตนรังสี พระอุปัชฌาย์และเจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา ท่านให้คำแนะนำและที่มาของบทสวดที่สำคัญหลายบท อาทิ คำสวดบารมี 10 ทัศ นมัสการพระอรหันต์ 8 ทิศ เป็นต้น จากนั้นทำพิธีทำบุญตักบาตรพระภิกษุบวชใหม่ หน้าอุโบสถ และเดินทางไปเจดีย์พุทธคยา เพื่อทำพิธีห่มผ้าพระพุทธเมตตา กราบนมัสการพระพุทธเมตตา และกราบลาพระมหาเจดีย์พุทธคยา จากนั้นไปเดินทางไปวัดญี่ปุ่น เพื่อนมัสการพระพุทธรูป “ไดบุสึ” พระพุทธรูปศิลปะญี่ปุ่นแบบมหายานที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย บริเวณพระพุทธรูปยังมีรูปปั้นพระสาวกของพระพุทธเจ้าล้อมรอบจากลำดับซ้ายมาขวา ได้แก่ พระสารีบุตร พระมหากัจจายะณะเถระ (พระสังกัจจายน์) พระราหุล พระมหากัสสะปะเถระ พระมหาโมคัลลานะ เป็นต้น จากนั้นจึงมาฉันเพลที่วัดไทยพุทธคยา อีกครั้ง เพื่อเดินทางไป ถ้ำดงคสิริ สถานที่มหาบุรุษได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาแบบอัตตกิลมถานุโยคอย่างแสนสาหัสเป็นเวลาถึง 6 ปี ประมาณ 45 นาที ก็มาถึงบริเวณทางขึ้นถ้ำ ซึ่งเต็มไปด้วยคณะขอทานที่อยู่ตามแนวขึ้นเขา สำหรับพระหรือญาติโยมที่อาวุโส จะเป็นเป้าหมายที่คนพวกนี้จะเข้าไปพยุง ดันขึ้นเขา เพื่อได้เงินกลับมาให้พวกเขานั่นเอง ใช้เวลาและรู้สึกเหนื่อยอยู่พอสมควร คณะเราก็ได้มาถึงจุดพักก่อนขึ้นบันไดไปที่ถ้ำ พักได้นานพร้อมมีบริเวณจิบน้ำมะตูมที่ชาวอินเดียนำมาเสริฟ์บริการ (ไกด์บอกว่าทานได้) ภายในถ้ำมีรูปปั้นมหาบุรุษลักษณะนั่งสมาธิจนเห็นซี่โครงร่างกายผายผอมยิ่ง (ทราบว่าเป็นรูปปั้นที่มาแทนที่ถูกขโมยไปก่อนหน้านี้) สามารถเข้าได้ไม่เกิน 4 คน สวดมนต์พิธีเสร็จจึงได้ลงจากเขา และมุ่งหน้าเดินไปยังยังเมืองราชคฤห์ ใช้เวลาเกือบ 3 ชม. ก็มาถึงพื้นที่ที่พวกเรามาชมหลักฐานที่แสดงให้เห็นความคับคั่งทางเศรษฐกิจการค้าขายในสมัยพุทธกาล นั่นคือ รอยเกวียนอายุสองพันกว่าปี บริเวณโดยรอบมีการกั้นพื้นที่ จะเห็นทางเกวียนเป็นรอยแนวยาว มีความแข็งฝั่งลึก และวันนี้พวกเราได้เปลี่ยนมาจำวัดกันที่นี้ วัดไทยสิริราชคฤห์ วัดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความสำคัญยิ่งของพุทธศาสนา..... เมืองราชคฤห์
ที่มาภาพ : คณะอุบาสก อุบาสิกา ผู้ใจบุญของคณะเรา




ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น