ครั้งหนึ่งในชีวิต
กับการอุปสมบทใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
จารึกแสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน @อินเดีย –
เนปาล ฉลองพุทธชยันตี 2600
ปี
โดย กรัณย์ สุทธารมณ์ (พระกุสลโพธิ)
จากที่ครั้งหนึ่งกับการอุปสมทบหมู่เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฏราชกุมาร
ในปี 2550
ณ วัดมหาธาตุวรวิหาร จังหวัดเพชรบุรี
ระหว่างการซึมซับกับเรื่องราวของพุทธศาสนา
ก็ได้รับการเติมเต็มจากพระที่บวชด้วยกัน...หากเป็นไปได้
เราจะต้องหาโอกาสไปบวชอินเดีย ต้นฉบับศาสนาพุทธในดินแดนพุทธภูมิให้จงได้
5 ปี ผ่านไป
เข้าสู่บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองพุทธชยันตี 2600 ปี เช้าวันที่ 28 สิงหาคม 55
ก่อนปิดประตูเพื่ออาบน้ำเพียง 5 วินาที
ก็ได้ยินเสียงวิทยุ สวท.เพชรบุรี ...”โครงการนี้เราจัดทุกปีนะครับ
โดยจะทำการบวชที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์....” (ท่านปรีชา
วัชราภัย ผอ.สปร.กล่าว) จากนั้น
เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่จะจำรึกในความทรงจำของผมจึงได้ปรากฏขึ้น
9 โมงเช้า ของวันที่
30 ตุลาคม 2555 เรานัดพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ
เพื่อเตรียมขึ้นเครื่องในเที่ยวบิน TG-327 กรุงเทพ-คยา ต้องขอขอบคุณพี่เทพ (คนขับ) พี่อ้วน และน้องปู ที่มาส่งถึงสนามบิน
ซึ่งถือว่าทันท่วงทีพอดี้พอดีคนสุดท้ายของคณะ เส้นทางบินไปทางกาญจนบุรี
ผ่านน่านฟ้าของพม่า อ่าวเบงกอล และลงสู่ สนามบิน คยา (Kanya Airport) ถึงเวลา 14.00 น. (เวลาอินเดียเร็วกว่าไทย 1
ชม.30 นาที) ใช้เวลาประมาณ 3 ชม. สนามบินที่นี้ไม่มีระบบช่วยทางอากาศ และรันเวย์สั้นมาก ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญของนักบินอย่างยิ่ง
เมื่อเข้าสู่ระบบตรวจคนเข้าเมืองก็พบว่ามีเจ้าหน้าที่ให้บริการเพียงคนเดียว
อีกท่านกำลังไปยกเครื่องคอมพิวเตอร์ (น่าจะรุ่น pentium
4) เพื่อมาเพิ่มจุดบริการ
ใช้เวลาซักพักใหญ่จึงผ่านระบบตรวจคนและการเอ็กซเรย์กระเป๋า
บรรยากาศของอินเดียได้เริ่มซึมซับทันทีจากพวงดอกไม้อินเดีย (กลิ่นฉุนมาก) ที่คณะไกด์อินเดียมาต้อนรับพวกเรา
และจึงขึ้นรถโค้ชปรับอากาศ เราเริ่มมองบรรยากาศริมสองข้างทางที่เต็มไปด้วยบ้านเรือน
ร้านค้า ผู้คน และสัตว์เลี้ยง ที่แปลกตาพวกเราอย่างยิ่ง ประมาณ 30 นาที พวกเราจึงมาถึง วัดไทยพุทธคยา
วัดไทยพุทธคยาถือว่าเป็นวัดแรกที่รัฐบาลไทยได้มาจัดตั้งในนอกราชอาณาจักร พวกเราได้รับการต้อนรับและชี้แจงจากพระมหานิพนธ์
เลขานุการเจ้าอาวาสเสร็จแล้ว จึงได้จัดแจงสัมภาระเข้าห้องพัก ห้อง 206 (พัก4 ท่าน
ติดกับห้องพระประธาน) ขณะนั้นพบว่าหลวงพ่อพระราชรัตนรังสีกำลังฉันเพลอยู่
จึงรีบนำขนมมาการอง ที่นำมาจากประเทศไทยถวายหลวงพ่อเป็นสิริมงคล จากนั้นจึงไปชม แม่น้ำเนรัญชรา
สถานที่พระพุทธองค์ลอยถาดซึ่งนางสุชาดาเป็นผู้ถวายข้าวมธุปายาสก่อนที่มหาบุรุษจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งปัจจุบันมีสภาพเป็นคล้ายทะเลทราย ปกคลุมด้วยต้นหญ้า
มีสัตว์มาเดินและเด็กๆมาเล่นกันจำนวนมาก
แต่กระนั้นก็ยังไม่ทำให้พวกเราคลายแรงศรัทธาและความตื่นเต้นที่ได้เห็นแม่น้ำที่มีความสำคัญต่อพุทธศาสนาอยู่ดี
ไกด์ได้ชี้จุดที่น่าจะเป็นจุดที่พระพุทธองค์ลอยถาด ชมต้นหญ้ากุศะ ที่นายโสตถิยะเป็นผู้ถวายให้มหาบุรุษ
เพื่อได้ปูลาด ณ ใต้ต้นโพธิ์ จากนั้นจึงไปไปชม บ้านนางสุชาดา พวกเราได้เดินชมรอบกองอิฐขนาดใหญ่
ซึ่งทราบว่าพระเจ้าอโศกได้เป็นผู้สร้างเป็นอนุสรณ์ให้เป็นที่ระลึกสถานที่ที่มีความสำคัญ
ที่นี้ได้สร้างการปรับตัวให้กับพวกเรากับการปฎิบัติตัวกับกลุ่มคนที่เรียกว่า ขอทาน
และผู้ที่มาขายสินค้าต่างๆอย่างดี “ไม่มอง ไม่สบตา วางเฉย
นั่นหล่ะดี” เป็นวาทะที่ไกด์ได้แนะนำพวกเราให้ช่วยปฎิบัติเพราะจะทำให้ท่านปลอดภัยจากการถูกรุมทึ้งจากคณะขอทานได้
เพราะที่นี้มีขอทานจำนวนมาก มีทั้งร่างกายไม่สมประกอบแขนขาลีบ เด็กเล็กต่างๆ ขณะเดินรอบได้พบกับ
คณะที่มาจากเพชรบุรี
15
คน โดยมีพระสงฆ์เป็นผู้นำพา ทักทายกันพักใหญ่จึงถ่ายรูปเป็นที่ระลึกและอนุโมทนาในการบวชของกระผมอีกครั้ง
จากนั้นจึงกลับมาที่ วัดไทยพุทธคยา อีกครั้ง โดยเข้าสู่ พิธีโกนผมนาค ซึ่งจัดบริเวณสวนข้างพระอุโบสถ
เนื่องจากใกล้หน้าหนาวเวลาที่นี้จึงมืดเร็ว พวกเราได้นั่งตามลำดับอาวุโส 1-18
ผมเป็นคนที่ 16 จึงได้เริ่มขลิบผมจากประธานฆราวาสคือ
ผอ.ปรีชา วัชราภัย ดร.อิสสระ อ.บุญสิน และญาติธรรม ตามลำดับ
เสร็จแล้วจึงทำโกนผมทั้งหมดโดยคณะพระสงฆ์ ซึ่งบรรยากาศตอนนี้ถือว่ามืดเร็วมาก
จนต้องใช้ไฟฉายส่องช่วยเพื่อให้การโกนผมเป็นเรียบร้อย
จากนั้นพวกเราทุกนาคจึงได้ไปรับประทานอาหารที่อู่ข้าว
และไปที่ห้องธรรมสภา เพื่อเปิดโครงการอุปสมบทฯ และปฎิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติอย่างเป็นทางการ
เสร็จพิธีจึงได้ทำพิธีการซ้อมคำขานนาค โดย พระอาจารย์ปลัดณรงค์ อุตตมโส และเพื่อให้พวกเราขานนาคได้ถูกต้องและพร้อมเพรียงกัน
วันนี้ภารกิจการไปปักกลดที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์จึงต้องงดไปก่อน
เช้าวันพุธที่ 31 ตค. ตื่นเช้า 6 โมง พวกเราได้สวมชุดนาคเพื่อไปซ้อมขานนาคอีกครั้งหนึ่งที่ธรรมสภา
วันนี้ถือว่าเป็นวันออกพรรษา ทางวัดจึงได้จัดพิธีตักบาตรเทโว บริเวณหน้าอุโบสถ
ทำให้ได้พบ่เห็นญาติธรรม
คนพุทธที่อยู่ ณ คยานี้ ได้มาจัดโต๊ะเพื่อเตรียมตักบาตรจำนวนมาก
ระหว่างเตรียมตักบาตร นกพิราบฝูงใหญ่ได้บินวนรอบพระอุโบสถ (ประมาณ 7-8 รอบ ซึ่งปกติจะไม่ค่อยบินจะเกาะหลังคาตามจุดต่างๆเท่านั้น) เวลา 8 โมง พระพี่เลี้ยงจึงจัดให้พวกเราได้ใส่บาตรหลวงพ่อพระราชรัตนรังสี
และคณะพระสงฆ์ที่เดินโปรด เป็นลำดับแรก
บรรยากาศเช้าก่อนนี้จึงอิ่มเอิบบุญกันเต็มที่
จากนั้นพวกเราได้มุ่งหน้าขึ้นรถไป วิหารพุทธคยา เพื่อที่จะทำพิธีบวชสามเณร
ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ก่อนเข้าวิหารทางไกด์จึงแนะนำให้พวกเราถอดรองเท้าไว้ที่รถบัส
เพราะข้างในจะไม่อนุญาตให้ใส่รองเท้าและเป็นการสะดวกแก่ผู้บวชอีกทางหนึ่ง หน้าบริเวณทางเข้ามีร้านค้าของจำนวนมากๆ
พอถึงถึงทางเข้าเริ่มตื่นเต้นอีกครั้งกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้
ณ ที่แห่งนี้ “วิหารพุทธคยา”
ภาพผู้คนผู้แสวงบุญจากประเทศต่างๆ การแต่งกายที่แตกต่างกันไป
และแน่นอนภาพของขอทานที่นั่งเรียงรายระหว่างทางเข้าวิหาร เมื่อมาถึงพระปลัดณรงค์
ได้นำพวกเราทำประทักษิณรอบวิหาร 3 รอบ (อิติปีโสภควา
อรหังสัมมา...) ภายใน
วิหารเราได้เห็นภาพของการสักการะจากผู้แสวงบุญในรูปแบบที่แตกต่างกัน
เช่น การไหว้แบบอัษฎางคประดิษฐ์ของพระทิเบต (คือ
การทอดตัวลงไปนอนราบจนหน้าผากสัมผัสพื้นแล้วลุกขึ้นมายืนแล้วกราบลงไปใหม่)
การสวดมนต์ในท่วงทำนองต่างๆ แล้วก็มาถึงบริเวณที่เราจะทำพิธีบวชสามเณร
นั่นคือบริเวณใต้พระศรีมหาโพธ์ ต้นที่ 4 ที่อยู่นอกรั้ววิหาร
พิธีเริ่มต้นโดยประธาน ผอ.ปรีชา วัชราภัย ได้จุดธูปเทียนบูชารัตนตรัย จากนั้น
นาคได้ประนมมือประคองผ้าไตรและถวายเครื่องสักการะ (ดอกบัว) พร้อมกล่าวคำขานนาคพร้อมกัน
(ดอกบัวนำมาจากประเทศไทย เพราะที่อินเดียมีแต่ดอกบัวสายไม่ขลัง ผมได้ลิบกลีบที่ไม่สวยออกสองกลีบ
ชาติหน้าจะได้มีรูปโฉมดูดี พี่ข้างๆแนะนำ) พระราชรัตนรังสี พระอุปัชฌาย์ สวมอักษะให้แก่นาคทีละคน
และไปเปลี่ยนครองผ้าข้างล่างใกล้ต้นโพธิ์ (บริเวณนี้พบใบโพธิ์ใบหนึ่ง จึงเก็บไว้) แล้วจึงมารับสรณะและศีล
และพระอุปัชฌาย์กล่าวให้โอวาท การบรรพชาสามเณรใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์จึงสำเร็จลุล่วงโดยสมบูรณ์
จากนั้นจึงทำประทักษิณรอบวิหาร 3 รอบ
และทำพิธีห่มผ้าต้นพระศรีมหาโพธิ์
ซึ่งพระอาจารย์แจ้งให้ห่มฝั่งกำแพงตรงข้ามต้นโพธิ์แทน สำเร็จพิธีจึงเดินทางกลับสู่
วัดไทยพุทธคยา เพื่อเตรียมตัวประกอบพิธีอุปสมบทในช่วงบ่าย ณ พระอุโบสถวัดไทยพุทธยา
เป็นลำดับต่อไป
1 พฤศจิกายน 2555
เวลา 06.00 น.
พระใหม่ทุกรูปได้เข้าสู่การสวดมนต์ทำวัตรเช้าเป็นครั้งแรก
โดยการนำของพระราชรัตนรังสี พระอุปัชฌาย์และเจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา
ท่านให้คำแนะนำและที่มาของบทสวดที่สำคัญหลายบท อาทิ คำสวดบารมี 10 ทัศ นมัสการพระอรหันต์ 8 ทิศ เป็นต้น
จากนั้นทำพิธีทำบุญตักบาตรพระภิกษุบวชใหม่ หน้าอุโบสถ
และเดินทางไปเจดีย์พุทธคยา เพื่อทำพิธีห่มผ้าพระพุทธเมตตา กราบนมัสการพระพุทธเมตตา
และกราบลาพระมหาเจดีย์พุทธคยา จากนั้นไปเดินทางไปวัดญี่ปุ่น
เพื่อนมัสการพระพุทธรูป “ไดบุสึ” พระพุทธรูปศิลปะญี่ปุ่นแบบมหายานที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย บริเวณพระพุทธรูปยังมีรูปปั้นพระสาวกของพระพุทธเจ้าล้อมรอบจากลำดับซ้ายมาขวา ได้แก่ พระสารีบุตร พระมหากัจจายะณะเถระ (พระสังกัจจายน์) พระราหุล พระมหากัสสะปะเถระ พระมหาโมคัลลานะ เป็นต้น จากนั้นจึงมาฉันเพลที่วัดไทยพุทธคยา อีกครั้ง เพื่อเดินทางไป
ถ้ำดงคสิริ
สถานที่มหาบุรุษได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาแบบอัตตกิลมถานุโยคอย่างแสนสาหัสเป็นเวลาถึง 6
ปี ประมาณ 45 นาที ก็มาถึงบริเวณทางขึ้นถ้ำ
ซึ่งเต็มไปด้วยคณะขอทานที่อยู่ตามแนวขึ้นเขา สำหรับพระหรือญาติโยมที่อาวุโส
จะเป็นเป้าหมายที่คนพวกนี้จะเข้าไปพยุง ดันขึ้นเขา เพื่อได้เงินกลับมาให้พวกเขานั่นเอง
ใช้เวลาและรู้สึกเหนื่อยอยู่พอสมควร คณะเราก็ได้มาถึงจุดพักก่อนขึ้นบันไดไปที่ถ้ำ
พักได้นานพร้อมมีบริเวณจิบน้ำมะตูมที่ชาวอินเดียนำมาเสริฟ์บริการ
(ไกด์บอกว่าทานได้) ภายในถ้ำมีรูปปั้นมหาบุรุษลักษณะนั่งสมาธิจนเห็นซี่โครงร่างกายผายผอมยิ่ง
(ทราบว่าเป็นรูปปั้นที่มาแทนที่ถูกขโมยไปก่อนหน้านี้) สามารถเข้าได้ไม่เกิน 4
คน สวดมนต์พิธีเสร็จจึงได้ลงจากเขา
และมุ่งหน้าเดินไปยังยังเมืองราชคฤห์ ใช้เวลาเกือบ 3 ชม.
ก็มาถึงพื้นที่ที่พวกเรามาชมหลักฐานที่แสดงให้เห็นความคับคั่งทางเศรษฐกิจการค้าขายในสมัยพุทธกาล
นั่นคือ รอยเกวียนอายุสองพันกว่าปี บริเวณโดยรอบมีการกั้นพื้นที่
จะเห็นทางเกวียนเป็นรอยแนวยาว มีความแข็งฝั่งลึก
และวันนี้พวกเราได้เปลี่ยนมาจำวัดกันที่นี้ วัดไทยสิริราชคฤห์ วัดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความสำคัญยิ่งของพุทธศาสนา.....
เมืองราชคฤห์
ที่มาภาพ : คณะอุบาสก อุบาสิกา ผู้ใจบุญของคณะเรา
(โปรดติดตาม
ตอนต่อไป วันที่ 2 พย. – 8
พย. ราชคฤห์ - นาลันทา - เวสาลี - เกสรียา - กุสินารา - สาวัตถี - กบิลพัสดุ์ - โสนาลี - ลุมพินี - สารนาถ - คงคา ทาง www.facebook.com/karunryd)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น